๓.ไตรภูมิพระร่วง

| | |

๓. ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา



         หนังสือไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือสำคัญสมัยกรุงสุโขทัยที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน    เป็นวรรณคดีทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมาก  เดิมเรียกว่า "เตภูมิกถา หรือไตรภูมิกถา"  ในการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ  พ.ศ. ๒๔๕๕  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเปลี่ยนชื่อหนังสือเล่มนี้เป็น "ไตรภูมิพระร่วง"      เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือสุภาษิตพระร่วง
ผู้แต่ง  พระมหาธรรมราชาที่  ๑ (พระยาลิไท)
ความมุ่งหมาย  ๑. เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา  เป็นการเจริญธรรมความกตัญญู
                ๒. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรมและช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาไว้ให้ยั่งยืน
ลักษณะการแต่ง    แต่งเป็นร้อยแก้ว
เนื้อหาสาระ  เริ่มต้นด้วยคาถานมัสการเป็นภาษาบาลี  ต่อไปมีบานแพนกบอกชื่อผู้แต่ง  วันเดือนปีที่แต่ง  บอกชื่อคัมภีร์   บอกความมุ่งหมายในการแต่ง  แล้วจึงกล่าวถึงภูมิทั้ง  ๓  ว่า  "อันว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมจะเวียนวนไปมาและเกิดในภูมิ  ๓  อันนี้แล"  คำว่า  "ไตรภูมิ"  แปลว่า  สามแดน  คือ  กามภูมิ  รูปภูมิ  และอรูปภูมิ   ทั้ง  ๓  ภูมิแบ่งออกเป็น  ๘  กันฑ์  คือ
. กามภูมิ  มี  ๖  กัณฑ์  คือ
   ๑.. นรกภูมิ  เป็นแดนนรก
   ๑.. ดิรัจฉานภูมิ  เป็นแดนของสัตว์ที่เจริญตามขวาง
   ๑.. เปตภูมิ  เป็นแดนของเปรตที่เคยเป็นมนุษย์และทำความชั่วเกิดเป็นเปรต
   ๑.. อสุรกายภูมิ  เป็นแดนของยักษ์มารหรือผีที่หลอกมนุษย์ให้ตกใจกลัว
   ๑.. มนุสสภูมิ  เป็นแดนของมนุษย์
   ๑.. ฉกามาพจร  เป็นแดนของเทวดาที่ยังเกี่ยวข้องในกาม  มี  ๖ ชั้น  คือ   จาตุมหาราชิก  ,   ดาวดึงส์  ยามะ   , ดุสิต  , นิมมานรดี  , ปรนิมมิตวสวดี
. รูปภูมิ มี  ๑  กัณฑ์   คือ  รูปาวจรภูมิ  เป็นแดนของพรหมที่มีรูป  แบ่งเป็น  ๑๖  ชั้น     ตามภูมิธรรม  เรียกว่า  โสฬสพรหม
. อรูปภูมิ มี  ๑  กัณฑ์  คือ  อรูปาวจรภูมิ  เป็นแดนของพรหมไม่มีรูป  มีแต่จิต แบ่งเป็น๔ ชั้น
คุณค่า    ๑. ด้านศาสนา       ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสืออ่านยาก     ตั้งแต่สมัยสุโขทัยตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น    ผู้ที่นำไตรภูมิไปสู่ชาวบ้านก็คือพระสงฆ์   และนำไปโดยการเทศนา   ทำภาษายากให้เป็นภาษาง่ายที่ชาวบ้านเข้าใจได้    โดยเฉพาะเนื้อเรื่องนั้นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ   การเกิดการตาย   เกี่ยวกับโลกทั้งสาม  (ไตรภูมิ)   ซึ่งทำให้คนสมัยกรุงสุโขทัยเข้าใจเรื่องชีวิตของตนเองว่าเกิดมาอย่างไร  ตายแล้วไปไหน  โลกที่อยู่ปัจจุบันและโลกหน้าเป็นอย่างไร
          ๒. ด้านภาษา  สำนวนโวหารในไตรภูมิ    โดยเฉพาะพรรณนาโวหารนั้นประณีตละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง     จนทำให้นึกเห็นสมจริง  ให้เห็นสภาพอันน่าสยองขวัญของนรก   สภาพอันรุ่งเรืองบรมสุขของสวรรค์   จนจิตรกรอาจถ่ายบทพรรณนานั้นลงเป็นภาพได้  เราจะเห็นภาพฝาผนังของวิหารและโบสถ์ตามวัดต่างๆ ไป (นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางภาษาระหว่างสมัยพ่อขุนรามคำแหงกับสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท)                                                    
         ๓.ด้านสังคม  มุ่งใช้คุณธรรมความดีเป็นพื้นฐานการสร้างสรรค์ความสุขในสังคม
         ๔. ด้านอิทธิพลต่อกวียุคหลังกวียุคหลังได้ใช้ไตรภูมินี้เป็นแนวพรรณนาป่าหิมพานต์  เขาพระสุเมรุ   วิมานพระอินทร์  ส่วนจิตรกรได้อาศัยความคิด  ความเชื่อในไตรภูมิ  เป็นแนวการสร้างสรรค์งานศิลปะ  รวมความว่า   ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือเก่าชั้นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของคนไทยในเรื่องบาปบุญคุณโทษ    ในด้านจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์ต่างๆ   และวรรณคดีตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบัน      หนังสือนี้แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระยาลิไทในด้านศาสนา    และใช้จริยธรรมในการบริหารบ้านเมือง    และยังแสดงให้เห็นพระสติปัญญา    ตลอดจนให้แนวคิดในเชิงปรัชญา  สังคม  และค่านิยมของสังคมเป็นอย่างดียิ่ง

ตัวอย่างในไตรภูมิพระร่วง   
 ผลแห่งการทำบาป
        "คนผู้ใดกล่าวคำร้ายแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศิลและพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ครูปาทยาย  คนผู้นั้นตาย  ไปเกิดในนรกอันได้ขื่อว่า  สุนักขนรกนั้นแล  ในสุนักขนรกนั้นมีหมา  ๔  สิ่ง  หมาจำพวกหนึ่งนั้นขาว  หมาจำพวกหนึ่งนั้นแดง  หมาจำพวกหนึ่งนั้นดำ  หมาจำพวกหนึ่งนั้นเหลือง  และตัวหมาผู้นั้นใหญ่เท่าช้างสารทุกตัว  ฝูงแร้งแลกาอันอยู่ในนรกนั้นใหญ่เท่าเกวียนทุกตัว  ปากแร้งแลกาแลตีนนั่น  เทียรย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟอยู่มิได้เหือดสักคาบ  แร้งแลกาหมาฝูงนั้นเทียรย่อมจิกแหกหัวอกขบตอดคนทั้งหลายในนรกด้วยบาปกรรมของเขานั้น  แลมิให้เขาอยู่สบายแลให้เขาเจ็บปวดสาหัส  ได้เวทนาพ้นประมาณ  ทนอยู่ในนรกอันชื่อสุนักขนรกนั้นแล"

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น