หน้าแรก

| | | 0 ความคิดเห็น

ขอเชิญทุกท่านผจญภัยในดินแดนแห่งวรรณคดีไทย

 



เว็บนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติวรรณคดี ของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษาประวัติความเป็นมาของวรรณคดีแต่ละเรื่อง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากมีข้อบกพร่องประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
เสนอ


อ.ทานตะวัน ศิรินพ


ซึ่งรวบรวมเอาไว้ ๒ สมัยด้วยกัน ได้แก่

(คลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อดูรายละเอียด)

1. สมัยสุโขทัย


2. สมัยอยุธยา

คำแนะนำก่อนใช้เว็บ

| | | 0 ความคิดเห็น
คำแนะนำก่อนใช้เว็บ
เนื่องจากเว็บของเราใช้ฟอนต์พิเศษที่ไม่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป จึงควรติดตั้งก่อนเพื่อให้อ่านได้อย่างสะดวกภายใน ๕ ขั้นตอนง่ายๆ!
โดย๑.เปิด Control Panel


.เปิดFonts
๓.ใส่ TH Charm of AU ที่เราแนบไปให้ลงไปใน Fonts
๔.กด F๕ หรือ click ขวา เพื่อ refresh
๕.สำเร็จ!!!
**ปล.อย่าลืมเปิดลำโพงนะคะ

๑๘.ลิลิตพระลอ

| | | 0 ความคิดเห็น

๑๘. ลิลิตพระลอ 
ผู้แต่ง  ไม่ทราบแน่ชัด

ระยะเวลาในการแต่ง  อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๒๐๕)

ลักษณะคำประพันธ์  เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณและร่ายดั้น
วรรณคดีสโมสรให้เป็น ยอดของลิลิต

ความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญหฤทัย

เรื่องย่อ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอกษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้องพระทัยพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรกษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรยพระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปูเจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวง เมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้งนางขวัญพระพี่เลี้ยงพระลอทรงเสี่ยวน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงผืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปูเจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้วไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรยออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระเพื่อนพระแพง ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการอภิเษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาลพระลอ อ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระอพงและพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมดท้าวพิชัยพิษณุกรทรงพระพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์สาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองก็เป็นไมตรีต่อกัน

คุณค่า ด้านสังคม และวัฒนธรรม เป็นนิยายพื้นบ้านที่สะท้อนชีวิตทั้งด้านการปกครอง ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ
ด้านภาษา เป็นยอดของลิลิต และเป็นตัวอย่างแก่กวีรุ่นหลัง

๑๕.คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง

| | | 0 ความคิดเห็น
๑๕คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง


ผู้แต่ง           ขุนเทพกวี
คำประพันธ์     ฉันท์, กาพย์ยานี และกาพย์ฉบัง
วัตถุประสงค์    ใช้ขับในราชพิธีสมโภชช้างเผือก
สาระสำคัญ     ตอนต้นเป็นบทสดุดีเทพทั้งหลายพรรณนาการเตรียมตัวคล้องช้างขอพรเทพให้ทำการคล้องช้างสำเร็จ
คุณค่า
           (๑)  เป็นคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างที่เก่าที่สุดที่กวีรุ่นหลังนำมาเป็นตัวอย่าง
           (๒) ให้ความรู้เรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง 

๑๖.โคลงทวาทศมาส

| | | 0 ความคิดเห็น

๑๖โคลงทวาทศมาส

ผู้แต่ง  ไม่ชัดเจน บอกไว้เพียงว่าพระเยาวราชแต่ง และมีขุนพรหมมนตรี ขุนศรีกวีราชและขุนสารประเสริฐ เป็นผู้เกลากลอน
เวลาการแต่ง ยังไม่เป็นที่ยุติ บางท่านว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์บางท่านว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
คำประพันธ์  โคลงดั้นวิวิธมาลี  
สาระสำคัญ  พรรณนาคร่ำครวญการจากไป ๑๒ เดือน
คุณค่า เป็นตัวอย่างในการแต่งนิราศของกวีรุ่นหลัง

๑๗. โคลงนิราศหริภุญชัย

| | | 0 ความคิดเห็น
๑๗โคลงนิราศหริภุญชัย
  ผู้แต่ง       กวีชาวเชียงใหม่
คำประพันธ์      โคลงสี่สุภาพ
วัตถุประสงค์ แสดงความอาลัยรักนาง แต่ผู้ที่ถอดมาเป็นภาษาไทยภาคกลางมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์ และแสดงผลงานของกวีผู้เป็นเจ้าของ
สาระสำคัญ  เขียนในลักษณะนิราศพรรณนาถึงสถานที่ผ่านและคร่ำครวญถึงนางอันเป็นที่รักระหว่างเดินทางไปนมัสการพระธาตุหริภุญชัย
คุณค่า ได้รับรู้ด้านวัฒนธรรมและการละเล่นในสมัยนั้นและเป็นตัวอย่างในการศึกษาศัพท์โบราณภาคเหนือ 



๓.ไตรภูมิพระร่วง

| | | 0 ความคิดเห็น

๓. ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา



         หนังสือไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือสำคัญสมัยกรุงสุโขทัยที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน    เป็นวรรณคดีทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมาก  เดิมเรียกว่า "เตภูมิกถา หรือไตรภูมิกถา"  ในการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ  พ.ศ. ๒๔๕๕  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเปลี่ยนชื่อหนังสือเล่มนี้เป็น "ไตรภูมิพระร่วง"      เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือสุภาษิตพระร่วง
ผู้แต่ง  พระมหาธรรมราชาที่  ๑ (พระยาลิไท)
ความมุ่งหมาย  ๑. เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา  เป็นการเจริญธรรมความกตัญญู
                ๒. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรมและช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาไว้ให้ยั่งยืน
ลักษณะการแต่ง    แต่งเป็นร้อยแก้ว
เนื้อหาสาระ  เริ่มต้นด้วยคาถานมัสการเป็นภาษาบาลี  ต่อไปมีบานแพนกบอกชื่อผู้แต่ง  วันเดือนปีที่แต่ง  บอกชื่อคัมภีร์   บอกความมุ่งหมายในการแต่ง  แล้วจึงกล่าวถึงภูมิทั้ง  ๓  ว่า  "อันว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมจะเวียนวนไปมาและเกิดในภูมิ  ๓  อันนี้แล"  คำว่า  "ไตรภูมิ"  แปลว่า  สามแดน  คือ  กามภูมิ  รูปภูมิ  และอรูปภูมิ   ทั้ง  ๓  ภูมิแบ่งออกเป็น  ๘  กันฑ์  คือ
. กามภูมิ  มี  ๖  กัณฑ์  คือ
   ๑.. นรกภูมิ  เป็นแดนนรก
   ๑.. ดิรัจฉานภูมิ  เป็นแดนของสัตว์ที่เจริญตามขวาง
   ๑.. เปตภูมิ  เป็นแดนของเปรตที่เคยเป็นมนุษย์และทำความชั่วเกิดเป็นเปรต
   ๑.. อสุรกายภูมิ  เป็นแดนของยักษ์มารหรือผีที่หลอกมนุษย์ให้ตกใจกลัว
   ๑.. มนุสสภูมิ  เป็นแดนของมนุษย์
   ๑.. ฉกามาพจร  เป็นแดนของเทวดาที่ยังเกี่ยวข้องในกาม  มี  ๖ ชั้น  คือ   จาตุมหาราชิก  ,   ดาวดึงส์  ยามะ   , ดุสิต  , นิมมานรดี  , ปรนิมมิตวสวดี
. รูปภูมิ มี  ๑  กัณฑ์   คือ  รูปาวจรภูมิ  เป็นแดนของพรหมที่มีรูป  แบ่งเป็น  ๑๖  ชั้น     ตามภูมิธรรม  เรียกว่า  โสฬสพรหม
. อรูปภูมิ มี  ๑  กัณฑ์  คือ  อรูปาวจรภูมิ  เป็นแดนของพรหมไม่มีรูป  มีแต่จิต แบ่งเป็น๔ ชั้น
คุณค่า    ๑. ด้านศาสนา       ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสืออ่านยาก     ตั้งแต่สมัยสุโขทัยตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น    ผู้ที่นำไตรภูมิไปสู่ชาวบ้านก็คือพระสงฆ์   และนำไปโดยการเทศนา   ทำภาษายากให้เป็นภาษาง่ายที่ชาวบ้านเข้าใจได้    โดยเฉพาะเนื้อเรื่องนั้นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ   การเกิดการตาย   เกี่ยวกับโลกทั้งสาม  (ไตรภูมิ)   ซึ่งทำให้คนสมัยกรุงสุโขทัยเข้าใจเรื่องชีวิตของตนเองว่าเกิดมาอย่างไร  ตายแล้วไปไหน  โลกที่อยู่ปัจจุบันและโลกหน้าเป็นอย่างไร
          ๒. ด้านภาษา  สำนวนโวหารในไตรภูมิ    โดยเฉพาะพรรณนาโวหารนั้นประณีตละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง     จนทำให้นึกเห็นสมจริง  ให้เห็นสภาพอันน่าสยองขวัญของนรก   สภาพอันรุ่งเรืองบรมสุขของสวรรค์   จนจิตรกรอาจถ่ายบทพรรณนานั้นลงเป็นภาพได้  เราจะเห็นภาพฝาผนังของวิหารและโบสถ์ตามวัดต่างๆ ไป (นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางภาษาระหว่างสมัยพ่อขุนรามคำแหงกับสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท)                                                    
         ๓.ด้านสังคม  มุ่งใช้คุณธรรมความดีเป็นพื้นฐานการสร้างสรรค์ความสุขในสังคม
         ๔. ด้านอิทธิพลต่อกวียุคหลังกวียุคหลังได้ใช้ไตรภูมินี้เป็นแนวพรรณนาป่าหิมพานต์  เขาพระสุเมรุ   วิมานพระอินทร์  ส่วนจิตรกรได้อาศัยความคิด  ความเชื่อในไตรภูมิ  เป็นแนวการสร้างสรรค์งานศิลปะ  รวมความว่า   ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือเก่าชั้นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของคนไทยในเรื่องบาปบุญคุณโทษ    ในด้านจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์ต่างๆ   และวรรณคดีตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบัน      หนังสือนี้แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระยาลิไทในด้านศาสนา    และใช้จริยธรรมในการบริหารบ้านเมือง    และยังแสดงให้เห็นพระสติปัญญา    ตลอดจนให้แนวคิดในเชิงปรัชญา  สังคม  และค่านิยมของสังคมเป็นอย่างดียิ่ง

ตัวอย่างในไตรภูมิพระร่วง   
 ผลแห่งการทำบาป
        "คนผู้ใดกล่าวคำร้ายแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศิลและพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ครูปาทยาย  คนผู้นั้นตาย  ไปเกิดในนรกอันได้ขื่อว่า  สุนักขนรกนั้นแล  ในสุนักขนรกนั้นมีหมา  ๔  สิ่ง  หมาจำพวกหนึ่งนั้นขาว  หมาจำพวกหนึ่งนั้นแดง  หมาจำพวกหนึ่งนั้นดำ  หมาจำพวกหนึ่งนั้นเหลือง  และตัวหมาผู้นั้นใหญ่เท่าช้างสารทุกตัว  ฝูงแร้งแลกาอันอยู่ในนรกนั้นใหญ่เท่าเกวียนทุกตัว  ปากแร้งแลกาแลตีนนั่น  เทียรย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟอยู่มิได้เหือดสักคาบ  แร้งแลกาหมาฝูงนั้นเทียรย่อมจิกแหกหัวอกขบตอดคนทั้งหลายในนรกด้วยบาปกรรมของเขานั้น  แลมิให้เขาอยู่สบายแลให้เขาเจ็บปวดสาหัส  ได้เวทนาพ้นประมาณ  ทนอยู่ในนรกอันชื่อสุนักขนรกนั้นแล"

๑๓. กาพย์ห่อโคลง

| | | 0 ความคิดเห็น
๑๓กาพย์ห่อโคลง
ผู้แต่ง       พระศรีมโหสถ
คำประพันธ์  กาพย์ยานีสลับกับโคลงสี่สุภาพบทต่อบท
วัตถุประสงค์ สดุดีชมบ้านเมืองสมัยสมเด็จพระนารายณ์
สาระสำคัญ  เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอยุธยา
คุณค่า       (๑) เป็นตัวอย่างของกวีรุ่นหลังในลักษณะการแต่งกาพย์ห่อโคลงขนาดยาวมีสำนวนโวหารที่ไพเราะ คมคาย หลายตอน
        (๒) ได้ทราบถึงสภาพบ้านเมือง

๑๒. นิราศนครสวรรค์

| | | 0 ความคิดเห็น
๑๒นิราศนครสวรรค์

ผู้แต่ง       พระศรีมโหสถ
คำประพันธ์  ร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ
วัตถุประสงค์ พรรณนาการเดินทางชลมารคตามเสด็จไปรับช้างเผือกที่นครสวรรค์
สาระสำคัญ  พรรณนาสถานที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านจากอยุธยาถึงนครสวรรค์ โดยแทรกสำนวนนิราศไว้ด้วย   
คุณค่า       ได้ทราบถึงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองยุคนั้น 

๑๑. โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์

| | | 0 ความคิดเห็น
๑๑โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์
ผู้แต่ง       พระศรีมโหสถ
คำประพันธ์  โคลงสี่สุภาพ
วัตถุประสงค์ เพื่อสดุดีพระเกียรติและบันทึกเหตุการณ์บ้านเมือง
สาระสำคัญ  เล่าเรื่องการได้ช้างเผือก อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากชียงใหม่ และพรรณนาเมืองลพบุรี
คุณค่า       มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี 

๑๐. โคลงอักษรสามหมู่

| | | 2 ความคิดเห็น
๑๐. โคลงอักษรสามหมู่
ผู้แต่ง         พระศรีมโหสถ
เวลาแต่ง         สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
คำประพันธ์      โคลงสี่สุภาพ กลบท ใช้คำๆ เดียวกันเรียงตั้งแต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ และผันได้ด้วยไม้เอก ไม้โท  เป็นชุดๆ     
วัตถุประสงค์     เพื่อแสดงฝีมือทางวรรณศิลป์
สาระสำคัญ  มีโคลงพรรณนาการรบที่เชียงใหม่   และการพรรณนาชมนก ชมไม้ เช่น
                     เขาขันคูคู่คู้          เคียงสอง
              เยื้องย่างนางยูงทอง        ท่องท้อง
              ทิวทุ้งทุ่งทุงมอง            มัจฉพราศ
            เทาเท่าเท้ายางหย้อง เฉียบลิ้มริมธาร
คุณค่า เป็นแบบอย่างในการแต่งกลบทของกวียุคหลัง 

๙. โคลงเบ็ดเตล็ดของศรีปราชญ์

| | | 0 ความคิดเห็น
๙. โคลงเบ็ดเตล็ดของศรีปราชญ์
ผู้แต่ง   ศรีปราชญ์ได้แต่งไว้เป็นโคลงเฉพาะกิจ มีการรวมรวมอยู่ในโคลงกวีโบราณของพระยาตรังคภูมิบาล  และตำนานศรีปราชญ์ ของพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ   ตาละลักษณ์) 
ตัวอย่าง   โคลงกระทู้
                ทะ  เลแม่ว่าห้วย     เรียมฟัง
         ลุ่ม    ว่าดอนเรียมหวัง     ว่าด้วย
         ปุ่ม    เปลือกปะการัง       เรียมร่วม     คำแม่
         ปู     ว่าหอยแม้กล้วย      ว่ากล้ายเรียมตาม
         โคลงสุดท้ายก่อนถูกประหาร
                ธรณีภพนี้เพ่ง        ทิพญาณ      หนึ่งรา
         เราก็ลูกอาจารย์             หนึ่งบ้าง
         เราผิดท่านประหาร          เราชอบ
         เราบ่ผิดท่านมล้าง           ดาบนี้คืนสนอง
คุณค่า      แสดงให้เห็นความเป็นปราชญ์ในเชิง ปฏิภาณกวี  ของศรีปราชญ์อย่างแท้จริง 

๗. อนิรุทธ์คำฉันท์

| | | 0 ความคิดเห็น
๗. อนิรุทธ์คำฉันท์

ผู้แต่ง    ศรีปราชญ์  เป็นบุตรของพระโหราธิบดี  เป็นกวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
คำประพันธ์    เป็นฉันท์และกาพย์ มีร่ายปนอยู่บ้าง
วัตถุประสงค์ 


สาระสำคัญ    เรื่องอนิรุทธ์ได้มาจากคัมภีร์วิษณุปุราณะและมหาภารตะ มีเนื้อเรื่องคล้ายสมุทรโฆษ คือมีการอุ้มสมระหว่าง พระอนิรุทธ์กับนางอุษา และพรากจากกัน แต่ในที่สุดก็ได้พบกันและครองกันสืบมา
คุณค่า
         (๑) ใช้ในการเปรียบเทียบกับเรื่องอณุรุทในสมัยรัชกาลที่ ๑ 
         (๒) มีลักษณะแหวกธรรมเนียมนิยมคือไม่มีบทไหว้ครู 

๘. โคลงกำสรวล หรือ กำสรวลศรีปราชญ์

| | | 0 ความคิดเห็น
โคลงกำสรวล หรือ กำสรวลศรีปราชญ์


ผู้แต่ง        ศรีปราชญ์
คำประพันธ์  เป็นโคลงดั้น   มีสัมผัสระหว่างบท
วัตถุประสงค์ พรรณนาการเดินทางพร้อมทั้งคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักไปด้วย เนื้อความบางตอนมีการยกวรรณคดีเรื่องอื่นมากล่าวเปรียบเทียบ
คุณค่า

  • ด้านภาษา ให้ความรู้ด้านคำศัพท์โบราณ
  • ด้านภูมิศาสตร์ ทราบสภาพเส้นทางตามที่กวีกล่าว
  • ด้านสังคม ได้รู้ถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย          


๑๓.นาฏวรรณคดี

| | | 0 ความคิดเห็น

๑๓.  นาฏวรรณคดี

          ในสมัยอยุธยาตอนปลายมีความเจริญของวรรณดีประเภทละครอย่างมากทั้งละครใน ละครนอก และละครชาตรี
๑.ละครใน หรือละครหลวง
  • ใช้แสดงในพระราชพิธี ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน 
  • มีทั้งบทร้อง และบทรำ
  • เรื่องที่แสดง คือ รามเกียรติ์ อุณรุท ดาหลัง และอิเหนา
๒. ละครนอก หรือละครชาวบ้าน
  • ใช้ผู้ชายแสดงล้วน
  • เดิมเรียกว่า ละคร แต่ภายหลังมีละครในเกิดขึ้นจึงเรียก ละครนอก
  • เรื่องที่แสดงมี ๑๔  เรื่อง คือ การะเกด คาวี ไชยทัต พิกุลทอง พิมพ์สวรรค์ พิณสุริยวงศ์ มโนห์รา โม่งป่า มณีพิชัย สังข์ทอง สังข์ศิลป์ชัย สุวรรณศิลป์ สุวรรณหงส์ และโสวัต สมัยรัตนโกสินทร์ มีบทพระราชนิพนธ์ละครนอกในรัชกาลที่ ๒ อีก ๖ เรื่อง คือ สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ ไกรทอง มณีพิชัย คาวี และสังข์ศิลป์ชัย
๓. ละครชาตรี
  • เดิมใช้ชายล้วน มีตัวละครเพียง ตัวพระ ตัวนาง และตัวตลก
  • เรื่องที่ใช้แสดงมีเรื่องเดียว คือ มโนราห์ จึงเรียกอีกชื่อว่า มโนราห์
  • ถือเป็นละครที่ถือกำเนิดในสมัยกรุงศรีอยุธยา แถบภาคใต้

๖.พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ

| | | 0 ความคิดเห็น
๖.พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ


ผู้แต่ง   เป็นพระประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้รวบรวมจดหมายเหตุและเหตุการณ์ต่างๆ  รวบรวมไว้ด้วยกัน หลวงประเสริฐอักษรนิติเป็นผู้ได้มาจากชาวบ้านแล้วนำมาถวายสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  จึงประทานชื่อให้เป็นเกียรติ
หลวงประเสริฐอักษรนิติ (แพ ตาละลักษณ์)

เวลาแต่ง            พ.ศ. ๒๒๒๓
คำประพันธ์    เป็นร้อยแก้ว เป็นการบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือเหตุการณ์แปลก ๆ ไว้
วัตถุประสงค์   เพี่อบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เป็นหลักฐาน
    สาระสำคัญ  เริ่มตั้งแต่เริ่มสร้างพระพุทธรูปวัดพนัญเชิง พ.ศ. ๑๘๖๗ จุลศักราช ๖๘๖ ไปจนถึง พ.ศ. ๒๑๔๗  สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปรบที่เมืองเชียงใหม่ ประชวรสวรรคตที่เมืองห้างหลวง
คุณค่า      มีคุณค่าสำคัญด้านประวัติศาสตร์ 

๕. มังรายศาสตร์

| | | 1 ความคิดเห็น
๕. มังรายศาสตร์



       มังรายศาสตร์เป็นหนังสือใบลานที่เก่าแก่ที่สุด  ต้นฉบับเดิมเขียนเป็นภาษาไทยเหนือ มังรายศาสตร์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วินิจฉัยมังราย  หมายความว่าเป็นคำพิพากษาของพระเจ้ามังราย
ผู้แต่ง   พระเจ้ามังรายหรือพระยามังราย    กษัตริย์แห่งอาณาจักรลานนาไทยพระราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง  เจ้าแห่งวงศ์หิรัญนคร  ผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อเจริญวัย  พระราชบิดามีรับสั่งให้ไปครองนครเชียงราย  พระเจ้ามังรายก็ทรงทำหน้าที่ในการปกครองได้อย่างดีเยี่ยม ทรงตีเมืองหริภุญไชยที่อยู่ในการครอบครองของมอญได้สำเร็จ ขณะมีพระชนมายุได้ 43  พรรษา เมื่อขึ้นครองราชย์ปกครองอาณาจักรลานนา  พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ให้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรลานนา
ความมุ่งหมาย             เพื่อใช้ในการพิจารณาคดีความ
ลักษณะการแต่ง            แต่งเป็นร้อยแก้ว                  
เนื้อหาสาระ      มังรายศาสตร์เป็นหนังสือกฎหมายที่ได้รวบรวมเรียบเรียงมาจากหนังสือธรรมศาสตร์   ซึ่งเป็นคัมภีร์กฎหมายเก่าแก่ของอินเดีย   ที่ถูกมอญดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพของตนไปบ้างแล้ว   
ตอนแรก  กล่าวถึงการสืบสันตติวงศ์ลานนา   การสร้างเมืองเชียงใหม่และวัตถุประสงค์ในการแต่ง  คำนำ  ใช้คำว่าสิทธิสวัสดี  กล่าวถึงกฎหมายที่ได้รู้มาแต่โบราณ พระเจ้ามังรายจึงบัญญัติไว้เพื่อให้ท้าวพระยาทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานเหลน   และเสนาอมาตย์ผู้ปกครองเมืองสืบไปได้รู้จักผิดรู้จักชอบ
ตอนที่สอง   กล่าวถึงเรื่องระเบียบการปกครอง  ซึ่งสมัยนั้นได้มีการจัดการปกครองออกเป็นหมู่ๆ หมู่ละ    10   คนบ้าง    100 คนบ้าง 1,000 คนบ้าง  10,000 คน  100,000 คนบ้าง  โดยมีหัวหน้าทำหน้าที่ในการปกครองในแต่ละหมู่
     ตอนที่สาม  กล่าวถึงเรื่องของตัวบทกฎหมาย  ที่มีคำอธิบายพร้อมเหตุผลประกอบ  มีจริยธรรมสอดแทรก      และมีลักษณะของความยืดหยุ่นเพื่อความเหมาะสมอีกด้วย
คุณค่า   ทางด้านด้านนิติศาสตร์ 
    มังรายศาสตร์เป็นกฎหมายที่ให้คุณค่าทางนิติศาสตร์หลายประการ    ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ กฎหมายแต่ละบทมีเหตุผลประกอบ  และยังสอดแทรกคุณค่าทางจริยธรรมเข้าไปอีก

ตัวอย่างบางตอน  

"ในการรบผู้ใดหลบหนีละทิ้งผู้บังคับบัญชา  ให้ฆ่าเสีย  ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นมีดังนี้  ไพร่  นายสิบ  นายห้าสิบ  นายร้อย  เจ้าพัน  เจ้าหมื่น  เจ้าแสนและพระยา   เมื่อฆ่าแล้วให้ริบครอบครัวทรัพย์สินทั้งสิ้น  เพื่อมิให้ผู้อื่นดูเยี่ยมอย่าง"

          "เดิมเป็นไพร่เอาตัวไม่รอด  จึงเข้าไปเป็นข้าของขุนท้าวพระยา  ต่อมาพ่อแม่พี่น้องผู้เป็นไพร่ตาย    โดยไม่ได้สั่งเสียเรื่องมรดกไว้  หากมันจะไปขอรับมรดกไม่ควรให้รับ  ยกเว้นกรณีที่ผู้ตายสั่งให้ไว้  ก็ให้รับมรดกเท่าที่สั่งไว้ได้   เพราะว่ามันเอาตัวไม่รอดจะพลอยพาพี่น้องอื่นล่มจมไปด้วย"