๔.ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

| | | 0 ความคิดเห็น


  ๔.ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์



  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  มีชื่อเรียกว่า  นางนพมาศบ้าง เรวดีนพมาศบ้าง    เป็นหนังสือที่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับสมัยที่แต่ง  นักวรรณคดีมีความเห็นตรงกันว่า  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เป็นหนังสือที่แต่งเติมหรือแต่งใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยใช้เค้าเรื่องเดิม  ทั้งนี้เพราะมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  เช่น  การกล่าวถึงชนชาติอเมริกัน    การกล่าวถึงปืนใหญ่ซึ่งไม่มีในสมัยนั้น  ถ้อยคำสำนวนเป็นถ้อยคำใหม่  มีคำกลอนซึ่งเกิดขึ้นหลังสมัยกรุงสุโขทัยอยู่ด้วย
ผู้แต่ง      นางนพมาศเป็นธิดาของพระศรีมโหสถและนางเรวดี  มีรูปสมบัติและคุณสมบัติที่งดงาม  ได้รับการอบรมจากบิดา  มีความรู้ทางอักษรศาสตร์  พุทธศาสนา  ศาสนาพราหมณ์  การช่างของสตรี  ตลอดจนการขับร้องดนตรี  ถวายตัวเป็นสนมทำหน้าที่ขับร้องถวาย  ได้เป็นพระสนมเอกของพระยาลิไท  ตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ความมุ่งหมาย    เพื่อแสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ และจริยธรรมของผู้รับราชการฝ่ายใน
ลักษณะการแต่ง     แต่งเป็นร้อยแก้ว  มีกลอนดอกสร้อยแทรกอยู่  ๕  บท
เนื้อหาสาระ   แบ่งออกได้เป็น  ๕  ตอน  คือ
๑. กล่าวถึงชาติและภาษาต่างๆ
๒. ยอพระเกียรติพระร่วง  เล่าชีวิตของชาวสุโขทัยและสถานที่บางแห่ง
๓. ประวัติของนางนพมาศเอง
๔. คุณธรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของนางสนม
๕. พระราชพิธีต่างๆ เช่น  พระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป(เดือนสิบสอง),     พระราชพิธีวิสาขะและพระราชพิธีจรดพระนังคัล (เดือนหก),  พระราชพิธีอาษาฒมาส (เดือนแปด),   พระราชพิธีอาสวยุช(เดือนสิบเอ็ด)      เป็นต้น
คุณค่าของหนังสือ    ๑.   ด้านวัฒนธรรม    มีคุณค่าในการแสดงหลักฐานทางวัฒนธรรมโบราณของไทย    ทำให้เรารู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในพระราชสำนัก  ได้แก่  ประเพณีการลอยกระทง  การปฏิบัติตัวของหญิงชาววัง  เช่น  ตำแหน่งหน้าที่ของนางนพมาศ    และการศึกษาของเด็กไทยสมัยก่อน  เช่น  การที่พระศรีมโหสถบิดานางนพมาศได้ให้นางนพมาศศึกษาอักษรสยามพากย์และอักษรสันสกฤตจนชำนาญ                       
๒.  ด้านสังคม  ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติสตรีและค่านิยมทางสังคม  ได้แก่  ความประพฤติ   ความขยัน    รวมทั้งวิชาทางช่าง  หนังสือเรื่องนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าหญิงไทยของเรามีนิสัยช่างประดิษฐ์มาตั้งแต่โบราณ  เช่น    การที่นางนพมาศประดิษฐ์โคมลอยดอกกระมุท  และการที่ข้าราชบริพารฝ่ายในประดิษฐ์โคมประทีปให้มีลวดลายต่างๆ เป็นต้น
๓.   ด้านภาษา    มีคุณค่าทางอักษรศาสตร์และวรรณคดี  เรื่องนี้ใช้โวหารในเชิงพรรณนาได้อย่างดียิ่ง  ทำให้น่าอ่านและเข้าใจง่าย
๔. ด้านโบราณคดี  ให้ความรู้ในทางโบราณคดี  เป็นประโยชน์ในการสอบสวนพระราชพิธีต่างๆ
ตัวอย่างบางตอน   

๑. ข้อปฏิบัติของข้าราชการฝ่ายใน
"อย่าทำรีๆ ขวางๆ ให้เขาว่า   อย่าทำเซ่อๆ ซ่าๆ ให้ท่านหัว  อย่าประพฤติตัวเก้อๆ ขวยๆ ให้คนล้อ   อย่าทำลับๆ ล่อๆ ให้เขาถาก  อย่างทำโปกๆ ปากๆ ให้ท่านว่ากิริยาชั่ว   จงแต่งตัวให้งามต้องตาคน จะประพฤติตนให้ต้องใจท่านทั้งหลาย  จงฝากตัวมูลนายให้กรุณา   จงระวังเวลาราชการ….."
๒. การประดิษฐ์ โคมในพระราชพิธีจองเปรียง
"ข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่า  เป็นนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง  พระจันทร์แจ่มแสงปราศจากเมฆมลทิน     อันว่าดวงดอกชาติโกสุมประทุมมาลย์  มีแต่จะเบ่งบานกลีบรับแสงอาทิตย์   ถ้าชาติอุบลเหล่าใดบานผกาเกสรรับแสงพระจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่า  ดอกกระมุท  ข้าพระองค์จึงทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนัมมทานที  อันเป็นที่พระบวรพุทธบาทประดิษฐาน"
๓. ชีวิตความเป็นอยู่
"ถึงวันวิสาขนักขัตฤกษ์ครั้งใดก็สว่างไปด้วยแสงประทีป เทียน ดอกไม้เพลิง แล้วล้างด้วยธงชายไสวไปด้วยพู่พวงดอกไม้ร้อยกรองห้อยแขวน หอมตลบไปด้วยกลิ่นสุคนธรสรวยรื่น เสนาะสำเนียงพิณพาทย์  ซ้องกลองทั้งทิวาราตรี  มหาชนชายหญิงพากันกระทำกองการกุศล"
 

       

๒.สุภาษิตพระร่วง

| | | 0 ความคิดเห็น
๒.สุภาษิตพระร่วง

        


สุภาษิตพระร่วงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บัญญัติพระร่วง" เป็นสุภาษิตที่เก่าแก่ ได้รับการจดจำกันมาหลายชั่วคนแล้ว เพิ่งมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานครั้งแรกในสมัย     รัชกาลที่ ๓ หรือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกวีในสมัยนั้นได้รวบรวมและแต่งเติมเสริมต่อให้ครบถ้วนแล้วจารึกไว้ที่ผนังวิหารด้านในทางทิศเหนือหน้ามหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ ต่อมาหอพระสมุดได้รวบรวมไว้ใน  หนังสือประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ
ผู้แต่ง สันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นผู้พระราชนิพนธ์
ความมุ่งหมาย เพื่อสั่งสอนประชาชน       
ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นร่ายสุภาพ ตอนจบเป็นโคลงสี่สุภาพ กระทู้ ๑ บท
เนื้อหาสาระ เริ่มด้วยพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยทรงมุ่งหวังประโยชน์ในภายหน้า จึงทรงบัญญัติสุภาษิตเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติประชาชน มีสุภาษิต ทั้งหมด ๑๕๘ บท
คุณค่า   ๑. ด้านภาษา สำนวนภาษาที่ใช้ในสุภาษิตนี้ใช้ถ้อยคำง่ายๆ คล้องจอง กะทัดรัด ไม่มีศัพท์สูง จึงทำให้น่าอ่านเพราะง่ายต่อการเข้าใจและจดจำ
       ๒. ด้านสังคม คนไทยได้นับถือสุภาษิตพระร่วงเป็นแนวในการดำเนินชีวิตมาช้านาน เพราะสุภาษิตพระร่วงนี้ให้คติทั้งในทางโลกและทางธรรม คนไทยได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าสุภาษิตเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้ว จึงถือได้ว่าสุภาษิตพระร่วงเป็นสุภาษิตที่เป็นหลักฐานในสังคมไทยมาช้านาน และภาษิตบางอย่างเราก็ยึดถือกันมาจนทุกวันนี้
       ๓. ด้านค่านิยมทางสังคม เช่น มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ส่งเสริมการศึกษารู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวด สร้างไมตรีไม่เบียดเบียนมิตร รักเกียรติและศักดิ์ศรีมากกว่าทรัพย์ เป็นต้น
      ๔.  ด้านอิทธิพลต่อกวียุคหลัง กวีรุ่นหลังใช้นำไปอ้างในวรรณคดีเรื่องต่างๆ  เช่น  มหาเวสสันดรชาดก เพลงยาวถวายโอวาท และขุนช้างขุนแผน เป็นต้น
ตัวอย่างบางตอน เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน อย่าริร่านแก่ความ เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า หน้าศึกอย่านอนใจ ไปเรือนท่านอย่านั่งนาน การเรือนตนเร่งคิด อย่านั่งชิดผู้ใหญ่ อย่าใฝ่สูงให้พ้นศักดิ์ ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย หว่านพืชจักเอาผล เลี้ยงคนจักกินแรง น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ที่ซุ้มเสือจงประหยัด มีสินอย่าอวดมั่ง ผู้เฒ่าสั่งจงจำความ ครูบาสอนอย่าโกรธ โทษตนผิดพึงรู้ อย่าขอของรักมิตร ชอบชิดมักจางจาก ภายในอย่านำออก ภายนอกอย่านำเข้า อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายจงพอแรง ยอข้าเมื่อเสร็จกิจ ยอมิตรเมื่อลับหลัง อย่าขุดคนด้วยปาก อย่าถากคนด้วยตา อย่าพาผิดด้วยหู อย่าเลียนครูเตือนด่า อย่าริกล่าวคำคด คนทรยศอย่าเชื่อ อย่ามักง่ายมิดี อย่าตีงูให้แก่กา อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ำ อย่ารักถ้ำกว่าเรือน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน
          

แบบฟอร์ม

| | | 0 ความคิดเห็น

3. สุภาษิตพระร่วง


        สุภาษิตพระร่วงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "บัญญัติพระร่วง"  เป็นสุภาษิตที่เก่าแก่  ได้รับการจดจำกันมาหลายชั่วคนแล้ว  เพิ่งมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่  3  หรือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์   โดยกวีในสมัยนั้นได้รวบรวมและแต่งเติมเสริมต่อให้ครบถ้วนแล้วจารึกไว้ที่ผนังวิหารด้านในทางทิศเหนือหน้ามหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  ราชวรมหาวิหาร  หรือวัดโพธิ์    ท่าเตียน     กรุงเทพฯ    เมื่อ พ.ศ. 2379     ต่อมาหอพระสมุดได้รวบรวมไว้ในหนังสือประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ
ผู้แต่ง          สันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นผู้พระราชนิพนธ์             
ความมุ่งหมาย      เพื่อสั่งสอนประชาชน
ลักษณะการแต่ง     แต่งเป็นร่ายสุภาพ   ตอนจบเป็นโคลงสี่สุภาพกระทู้  1  บท
เนื้อหาสาระ       เริ่มด้วยพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยทรงมุ่งหวังประโยชน์ในภายหน้าจึงทรงบัญญัติสุภาษิตเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติประชาชน   มีสุภาษิต  ทั้งหมด  158 บท
คุณค่า       1.      ด้านภาษา    


สมัยอยุธยาตอนปลาย

| | | 2 ความคิดเห็น

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย
  •  ใช้คำประพันธ์ทุกชนิดทั้ง โคลง ฉันท์ กาพย์ ร่าย ยุคนี้มีการใช้กลอน 
  • มีทั้งวรรณคดีและกวีสำคัญเกิดขึ้นมากมาย กวีมีตั้งแต่ พระมหากษัตริย์ จนถึงพระภิกษุ 
  • มีวรรณคดีประเภทละครเกิดขึ้นด้วย
  • มีคำหลวง เกิดขึ้น ๒ เรื่อง

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้
  
(คลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อดูรายละเอียด)


สมัยอยุธยาตอนกลาง

| | | 0 ความคิดเห็น



วรรณคดีอยุธยาตอนกลาง

        เป็นยุคทองของวรรณคดีมีกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมาย   ลักษณะคำประพันธ์นิยม  ใช้โคลงมากที่สุด  ฉันท์และกาพย์มีบ้าง   ไม่ปรากฏคำประพันธ์ประเภทกลอน  มีแบบเรียนภาษาไทยกำเนิดขึ้นด้วยคือเรื่อง  จินดามณี

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง มีดังนี้

(คลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อดูรายละเอียด)


เกร็ดความรู้


                 



สมัยสุโขทัย

| | | 0 ความคิดเห็น



สมัยสุโขทัย
             กรุงสุโขทัยได้สิ้นสุดลงหลังจากได้เอกราชมาประมาณ ๑๔๐ ปี เมื่อ กองทัพของพระเจ้าบรมราชาที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาตีได้ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แต่ราชวงศ์สุโขทัยยังคงครองสุโขทัยสืบต่อมาอีกประมาณ ๖๐ ปีจนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ พระเจ้าบรมราชาที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง อาณาจักร สุโขทัยเสียใหม่ โดยทรงตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสไปครองพิษณุโลก การปฏิบัติ เช่นนี้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์สุโขทัยอย่างเด็ดขาดและสุโขทัยกลายเป็น ส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตั้งแต่นั้นมา 

วรรณคดีสมัยสุโขทัยที่มีอยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมีอยู่ ๔ เรื่อง คือ

(คลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อดูรายละเอียด)